กรณีศึกษา : การใช้ SWOT เพื่อทำให้ร้านชำสามารถอยู่กับร้านเลขเจ็ดได้
บทแลกเปลี่ยนที่พบใน http://pantip.com/topic/30883540
|
| ไปพบการแชร์เรื่องราวดี ๆ ใน FB Profile ของ zongkiat pavadee อ่านแล้วรับรู้ได้ว่า
ผู้ตอบขั้นเทพใช้ประโยชน์จาก SWOT อย่างเห็นได้ชัด
(SWOT = Strengths, Weaknesses, Opportunities, Threats)
ทำให้ได้บทเรียนว่าสามารถใช้ SWOT เป็น SWORD สำหรับเอาชนะปัญหาในการแข่งขัน
ถ้ามีปัญหา แล้วไม่วิเคราะห์ SWOT จะรู้เขารู้เราได้อย่างไร
นี้เป็นเพียงเทคนิคเดียวที่ผู้ตอบนำมาใช้ และแก้ปัญหาได้ตรงจุด
อีกเทคนิคที่พบในคำตอบ คือ CSR (Coporate Social Responsibility)
แต่ไม่ได้ขยายความทางวิชาการเหมือน SWOT
ต้องขอชื่นชมผู้ตอบครับ น่าจะเป็นบทเรียนแก่ร้านของชำได้อย่างเป็นรูปธรรม
เป็นมุมมองของการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส .. จริง ๆ ๆ
|
ผู้ถาม และมีปัญหา : http://pantip.com/profile/962611 |
| บ้านเราเป็นร้านของชำเล็ก ๆ + ร้านก๋วยเตี๋ยว หน้าโรงงานมีผู้คนพลุกพล่านพอสมควร
กิจการนี้พ่อแม่เราทำมา 20 กว่าปีแล้ว กลุ่มลูกค้าส่วนมากจะเป็นคนงานและชาวบ้านในซอย
เราเป็นร้านชำร้านเดียวในย่านนั้น เรียกว่าขายดีมาก ๆ ทั้งของชำและก๋วยเตี๋ยว
(ขาย 20 -25 ราคาขายคนงานเพราะขายแพงกว่านี้ก็ไม่มีคนกิน
กำไรจากก๋วยเตี๋ยวแทบไม่เห็น ที่ขายเพราะช่วยดึงลูกค้า ให้ร้านเราคึกคักขึ้น )
ร้านเราเปิดตั้งแต่เช้ายันเย็น ลูกค้าเข้าไม่ขาด ยิ่งช่วงพักของโรงงานทอนตังแทบไม่ทัน
อาชีพนี้ทำให้เรามีกินมีใช้อย่างสุขสบายแม่กับพ่อสามารถเลี้ยงเรากับน้องได้อย่างดี
จนเมื่อปีที่ผ่านมายอดขายตกลง เพราะแรงงานพม่าเข้ามาแทนแรงงานชาวอีสาน
กำลังการซื้อของแรงงานพม่าน้อยว่าชาวอีสานอย่างเห็นได้ชัด
พวกนี้จะกินใช้อย่างประหยัดมาก
แต่เราก็ยังพออยู่ได้เรื่อย ๆ เพราะยังมีชาวบ้านแถวนั้นแวะเวียนมาซื้ออยู่
จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดใกล้บ้านห่างกันไม่ถึง 20 เมตร
สร้างใหญ่โตอลังการมาก (ประมาณตึกแถว 4 ห้องติด)
ตอนนี้ท้อมากค่ะ คนแห่เข้าร้านสะดวกซื้อหมด ร้านเราเงียบเป็นป่าช้าเลย
ที่พอขายได้ก็แค่บุหรี่แบ่งขาย เหล้าแบ่งขาย เป๊ปซี่น้ำแข็ง
นึกแล้วก็ใจหายสงสารคุณแม่นั่งเฝ้าร้านอย่างเหงา ๆ ดีที่ยังมีก๋วยเตี๋ยว
แต่อีกไม่ปี่ปีพ่อแม่เราคงขายก๋วยเตี๋ยวไม่ไหว ท่านจะ 60 แล้ว
กลุ้มใจมากค่ะ เลยอยากขอคำปรึกษาจากเพื่อน ๆ ต่อ เราควรทำอย่างไรดี
ตอนนี้เราจัดร้านใหม่ให้ดูดีขึ้น เรื่องความสะอาดเราก็ตรวจเช็คตลอด
แต่ก็ยังเงียบ ยิ่งวันโรงงานปิดยิ่งเงียบ คนบ้านไม่แทบไม่เข้าเลย เฮร้ออ
แต่เราก็เข้าใจผู้บริโภคนะคะ ที่นู่นมีพร้อมทุกอย่าง แอร์ก็เย็น
ถ้าเป็นเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
ณ ตอนนี้ยังมองอนาคตไม่ออกเลยค่ะ ว่าจะไปทางไหนดี
ส่วนตัวเราตอนนี้ก็เพิ่งเรียนจบใหม่ทำงานเงินเดือนหมื่นกว่าบาท
น้องเราก็ยังเรียนไม่จบ ทุกวันนี้เครียดมากนอนไม่หลับเลย
เวลามองบ้านเรากับร้านเลขเจ็ดเห็นภาพแล้วมันสะเทือนใจค่ะ
เพื่อน ๆ พอมีไอเดีย มาแนะนำมั้ยคะ ว่าเราควรทำยังไงต่อไป
หรือจะเปลี่ยนจากร้านของชำมาขายอย่างอื่นแทน
แล้วควรจะขายอะไรดี
|
ผู้ตอบขั้นเทพ : http://pantip.com/profile/972021 |
| อย่ากลัวค่ะน้อง พี่ (น่าจะพี่นะคะ อายุ 33 ค่ะ) ก็ขายของชำค่ะ
(ไม่ใช่สมาชิก pantip ค่ะ แต่สมัครมาตอบกระทู้นี้โดยเฉพาะ)
ร้านอยู่ห่างจาก ร้านเลขเจ็ด ประมาณ 20 ก้าวค่ะ
(ใกล้มากก เพราะทีแรก ร้านเลขเจ็ด จะมาขอเช่าที่บ้านค่ะ
แต่ถามจากรายได้ต่อเดือนแล้วไม่พอ คชจ. ในบ้านแน่นอน เลยตกลงใจไม่ทำค่ะ
เค้าเลยมาเช่าห้องที่ถัดไปจากที่บ้าน 3 ห้อง)
จะบอกว่าการที่ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดนั้นคือโอกาสนะคะ
ก่อน ร้านเลขเจ็ด มาเปิด พี่ก็ทำร้านต่อมาจากแม่ค่ะ (แม่เปิดมาจะ 30 ปีแล้ว)
ขายแต่ของชำอย่างเดียว ร้าน 2 คูหาค่ะ ขายส่งบ้างบางอย่าง
ตอน ร้านเลขเจ็ด มาเปิดวันแรก ร้านเงียบมากเลยวันนั้น
จำได้เลยนั่งดูลูกค้าถือลูกโป่งกับถุง ร้านเลขเจ็ด เดินผ่าน
จนอาทิตย์แรกผ่านไป เริ่มคิดแล้วรายได้ลดไปอย่างเห็นได้ชัด เอาไงดีวะ
(อันนี้บอกตัวเองนะคะ)
เพราะมีอีกหลายชีวิตในบ้านที่ต้องรับผิดชอบ เลยมาเริ่มคิด
ข้อ 1 คือ ร้านเลขเจ็ด มีอะไรและไม่มีอะไร และเรามีอะไรและไม่มีอะไร
.. งงมั้ยคะ จะสรุปให้ฟังทีหลังนะ
ข้อ 2 คือ ลูกค้าไปซื้ออะไรใน ร้านเลขเจ็ด
หาจุดอ่อนจุดแข็งทั้งของเราและของเค้าค่ะ
(SWOT analysis ที่เรียนมาเพิ่งจะได้รู้ประโยชน์จริงจังก็วันนี้ 555 เขียนผิดอย่าว่ากันนะคะ)
จากการวิเคราะห์ข้างต้น จุดแข็งของเราคือเรื่องสินค้า ราคา และลูกค้าค่ะ เอาทีละข้อนะคะ
(ตอบยาวเพราะอยากให้เพื่อน ๆ ร้านชำอีกหลาย ๆ คนสู้ ๆ เหมือนกันค่ะ อย่ายอมแพ้นะคะ)
สินค้า ความหลากหลายเราต้องมีให้มากกว่าค่ะ
ตอนเรียนโชคดีที่บังเอิญอาจารย์ให้หาข้อมูลของ ร้านเลขเจ็ด
เลยรู้ว่า ร้านเลขเจ็ด จะคัดเลือกเฉพาะสินค้าขายดี 3 อันดับต้น ๆ เข้ามาขายค่ะ
ทุกสาขาจะมีสินค้าคล้าย ๆ กัน แต่ความต้องการของลูกค้าแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกันนะคะ
เราคนพื้นที่ คุยกับลูกค้าบ่อย ๆ เวลาเค้ามาซื้อของเราจะได้รู้ว่าเค้าต้องการอะไร
ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ของเรามากกว่าค่ะ
สังเกตดูลูกค้าเราเป็นใคร ชอบอะไร ก็หามาขายค่ะ อีกอย่างต้องไวนะคะ
โฆษณาห้ามเปลี่ยนช่องดูเข้าไปอะไรออกใหม่ ต้องหามาขายให้ทันโฆษณาค่ะ
ร้านเลขเจ็ด ขายได้เราก็ต้องขายได้
ราคาสินค้า เดินไปดูเลยค่ะที่ ร้านเลขเจ็ด ขายกี่บาท เราตั้งราคาให้ถูกกว่าค่ะ
ร้านเลขเจ็ด จะบวกกำไรเยอะมาก เราลดราคาลงมาหน่อย หาร้านส่งที่ราคาถูก
(ที่บ้านพี่แยกซื้อค่ะ กว่าจะได้ของครบนี่บางทีวนเกือบ 10 ร้าน -_-")
ที่สำคัญหมั่นไปดูเค้าขายอะไร แปลก ๆ ใหม่ ๆ ดูจะขายได้ต้องขวนขวายไปหามาค่ะ
ป้ายราคาต้องมีให้ชัดเจนนะคะ ไม่ต้องถึงขนาดไปซื้อป้ายแบบใน ร้านเลขเจ็ด มาก็ได้
แค่ตัวยิงราคาแบบที่ติดที่สินค้าเลย ตัวละ 2-300 บาทก็ใช้ได้แล้ว
ยิ่งอันไหนถูกกว่ามาก มีคอมใช้คอมปรินท์ติดให้เห็นตัวโต ๆ ค่ะ
สร้างความแตกต่าง ของแบ่งขายนี่ตัวได้กำไรเลยค่ะ
บ้านพี่แบ่งทั้งถุงใส่กับข้าว ยางรัดของ ขนมปี๊บ (ทำแพคเกจให้สวยงามนะคะ กำไรดีมาก)
หลัง ๆ มีลูกค้ามาบ่นเรื่องเด็ก ๆ ชอบไปซื้อของเล่นในร้านเลขเจ็ด
ซึ่งราคาแพงมาก พี่เลยไปหาของเล่นแผงมาขายค่ะ
ตอนนี้ลูกค้าเด็ก ๆ เลยกลับมาเพียบแล้วค่ะ อิอิ แต่ขายของเด็กต้องทันเด็กนะคะ
ตอนนี้เค้าเล่นอะไรกัน อะไรกำลังฮิต ถามเอาจากร้านขายส่งนั่นแหละค่ะ
เลือกร้านที่เค้าแนะนำเราดี ๆ
อีกอย่างสินค้าเครื่องแต่งตัว ร้านเลขเจ็ด จะไม่ขายของพวกฮิต ๆ ตามตลาดนัดค่ะ
เช่น พวกสบู่ต่าง ๆ ครีมยอดฮิต
อีกอย่าง ร้านเลขเจ็ด ข้างบ้านเราพนักงานหน้าเป็นตูด
(ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ ลูกค้าพูดมาอีกที)
ร้านเราเลยได้เปรียบ เพราะเราอยากให้ลูกค้าออกจากร้านเราไปด้วยรอยยิ้มมากกว่า ยิ้ม
อ้อ รายได้เสริมบ้านพี่คือมีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ กับตู้เติมเงินมือถือค่ะ
(ตู้ร้านเลขเจ็ด คิดค่าบริการตามยอดที่เติม ตู้ที่บ้านพี่ พี่ตั้งค่าบริการเองถูกกว่า ร้านเลขเจ็ด ค่ะ
รายได้ไปเอาจากส่วนแบ่ง % จากเงินที่ลูกค้าเติมแทน)
ปีใหม่พี่มีของขวัญให้ลูกค้าจับรางวัลด้วยค่ะ ของเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่ถือว่าเป็นน้ำใจตอบแทนลูกค้า
ลูกค้าก็สนุกไปกับเราด้วย
หลายอย่างค่ะ เริ่มเมื่อยมือแล้ว จิ้มในมือถือ -_-"
สรุปคือค่อย ๆ คิดค่ะ แก้ปัญหาทีละอย่าง ความเครียดช่วยอะไรไม่ได้เลยมีแต่ทำให้แย่ลง
สิ่งสำคัญคือ [สติ] นะคะ
ทุกวันนี้ ร้านเลขเจ็ด ทำให้พี่หมดหนี้ค่ะ
ก่อนร้านเลขเจ็ด มาเปิดมีหนี้อยู่ประมาณล้านกว่าบาท ร้านเลขเจ็ด
เปิดได้ 1 ปีกว่า ๆ ยอกขายที่ร้านพี่เพิ่มขึ้นมาก หนี้จากที่ไม่ค่อยขยับไปไหนก็หมดไป
(ขอบคุณ ร้านเลขเจ็ด ค่ะ)
ปัจจุบันร้านจาก 2 ห้องขยายเป็น 3 ห้องแล้วค่ะ สินค้าในร้านเยอะมากขึ้นมาก
ลูกค้าก็เยอะขึ้นตามมามากเหมือนกัน
(ร้านเลขเจ็ด ช่วยดึงลูกค้านะคะ บ้านพี่ไม่ได้อยู่ในตลาด
ตะก่อนลูกค้าจะเลยเข้าตลาด พอ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดเลยดึงลูกค้าส่วนนี้มา)
หนี้ที่หมดเริ่มมีก้อนใหม่แล้วค่ะ เอามาลงทุนเพิ่ม แต่ไม่กลัวแล้วค่ะ
แถมตอนนี้ Big C มาแล้ว ข่าวว่า Lotus กำลังจะตามมา
แต่ก็ไม่ท้อค่ะ ลูกค้าไป bigc มาส่วนใหญ่ว่าของแพง บ้านเราถูกกว่า
(จะไม่ถูกกว่าได้ยังไง เราแอบดูราคาจากในเว็บ bigc อิอิ)
ไม่ได้มีแต่ร้านเรานะคะที่คิดว่า ร้านเลขเจ็ด มาเปิดแล้วไม่ดี คนรู้จักกันเปิดร้านคน
ละอำเภอเจอสถานการณ์เดียวกัน
เค้าก็ขายดีขึ้นเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ ร้านเลขเจ็ด เปิดมาได้น่าจะ 3-4 ปีแล้ว
ได้น้องพนักงานขาย ร้านเลขเจ็ด มาเป็นลูกค้าเราด้วยอีก อิอิ
อย่าท้อค่ะ อย่าท้อ มาสู้ ๆ ไปด้วยกันนะคะ
http://www.thaiall.com/blog/burin/5462/
|